ไม่ต้องเป๊ะแค่ใช้เวลาให้เป็น ทักษะการพัฒนาตนเองที่สำคัญสำหรับ Gen Alpha

ความรับผิดชอบในหน้าที่ ความตรงต่อเวลา สามารถทำภารกิจสำเร็จโดยเฉพาะในด้านการเรียน เป็นเรื่องที่ผู้ปกครองรุ่นมิลเลนเนียนทั้งหลายคาดหวังจากลูก ๆ ซึ่งอยู่ในกลุ่มของเด็ก Gen Alpha พยายามผลักดันให้เขามี การพัฒนาตนเอง และทุ่มเทเวลาไปกับการเรียนให้มากที่สุด ในขณะที่เด็กถูกรายล้อมด้วยเทคโนโลยีมากมาย ซึ่งอาจทำให้เขามีสมาธิสั้นลงและความรับผิดชอบน้อยลง ในโลกแห่งความเป็นจริงยุคนี้ ผู้ปกครองจึงควรให้เด็กสามารถเรียนรู้เรื่องการบริหารเวลาได้อย่างเหมาะสม ไม่ตึงและไม่หย่อนจนเกินไป ทำอย่างไร มาดูไปพร้อมกัน

ลักษณะของ Gen Alpha กับการฝึกเด็กให้รู้จัก การพัฒนาตนเอง อย่างมีคุณภาพ

Gen Alpha คือเด็กที่อายุ 13 ปีลงมา ซึ่งก็คือลูก ๆ ของ Gen Y หรือกลุ่ม Millennian อายุ 26-40 ที่มีความคาดหวังสูงกับการเรียนของลูก เด็ก Gen Alpha มีลักษณะอย่างหนึ่งคือไม่ชอบใช้เวลากับสิ่งใดนาน ๆ ดังที่กล่าวข้างต้นคือเขาถูกแวดล้อมด้วยสิ่งเร้าที่น่าสนใจมากกว่าในห้องเรียนและไม่รู้จัก การบริหารเวลาในการเรียน เท่าที่ควร

ผู้ปกครองไม่ควรกังวล และต้องทำความเข้าใจธรรมชาติของ Gen Alpha ว่าการที่เขาอยู่ในโลกของเทคโนโลยี ทำให้สามารถเข้าถึงความรู้ ข้อมูลใหม่ ๆ นอกเหนือจากในห้องเรียน พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง รวมถึงครูผู้สอนต้องปรับตัวให้ทันสมัยตาม และรู้ทันเทคโนโลยีเหล่านั้นเพื่อเลือกสื่อที่เหมาะสมให้กับเด็ก สิ่งสำคัญก็คือ ไม่ใช้วิธีการบังคับ และไม่ใช้ความคาดหวังของผู้ใหญ่ในการพัฒนาเด็กให้ได้ดั่งใจ แต่ให้เด็กพัฒนาทักษะโดยโฟกัสที่ตัวตนของเขาเอง รวมถึงการเน้นให้เด็กรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของงานหรือเป็นผู้จัดการภารกิจด้วยตัวเองทั้งในห้องเรียน และนอกห้องเรียน

จัดการกับกิจกรรมของเด็กรุ่นใหม่ ด้วยทักษะ การพัฒนาตนเอง ที่จำเป็นต้องมี

กิจกรรมนอกห้องเรียนเป็นสิ่งที่ดี แต่เด็กก็ต้องมี การพัฒนาตนเอง รู้จักใช้เวลาในการทำกิจกรรมหลายอย่างในเวลาเดียวกันอย่างสมดุลโดยไม่ให้เกิดความเครียด ทักษะสำคัญที่ผู้ปกครองต้องฝึกเด็กคือทักษะในการบริหารเวลา เทคนิคในการสอนเด็กให้ใช้เวลาได้อย่างเหมาะสม ก็คือ

• ไม่ใช้วิธีตำหนิติเตียน ว่ากล่าว หรือบ่น ซึ่งเทคนิคนี้จะทำให้เด็กไม่รู้สึกต่อต้าน 
• สื่อสารให้เด็กรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของชิ้นงาน เป็นเจ้าของโปรเจกต์หรือกิจกรรม 
• สร้างข้อตกลงอย่างไม่เป็นทางการ โดยใช้วิธีพูดคุยกันกับคุณพ่อคุณแม่ โดยให้เด็กเป็นฝ่ายเลือกเวลา และกำหนดเป้าหมายด้วยตัวเอง เช่น เลือกว่าจะอ่านหนังสือกี่หน้าต่อวัน และใช้เวลาเท่าใด แทนที่คุณพ่อคุณแม่เป็นฝ่ายกำหนดให้ หรืออาจเป็นการแพลนว่าจะทำงานชิ้นใดชิ้นหนึ่ง แล้วปล่อยให้เขารับผิดชอบงานจนเสร็จตามแพลนที่เขาเลือก 
• หลังจากที่เขาทำงานเสร็จ คำชมจากคุณพ่อคุณแม่จะสร้างความรู้สึกภูมิใจว่าเขามีความสามารถในการจัดการ และมั่นใจในตัวเองมากขึ้น 
• ฝึกให้เด็กแพลนงานชิ้นใหญ่ โดยใช้วิธีเดียวกัน เด็กจะมี การพัฒนาตนเอง และสามารถรับผิดชอบงานใน scale ที่ใหญ่ขึ้น 

ฝึกเด็กให้รู้จักยืดหยุ่น และ การบริหารเวลาในการเรียน อย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งสำคัญในการฝึกเด็กให้รู้จักบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพก็คือความยืดหยุ่น ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องเป๊ะ แต่สอนให้รู้จักใช้เวลาอย่างถูกต้อง ผู้ใหญ่อาจจะต้องปลดล็อกตัวเองก่อน ถ้าคุณพ่อคุณแม่มีความยืดหยุ่น เด็กจะยืดหยุ่นตาม ความยืดหยุ่นเป็นเรื่องที่ดีสำหรับกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เช่น เปลี่ยนแปลงเวลาในการทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งแบบกะทันหัน ในมุมของคุณพ่อคุณแม่ สมมติว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่กระทบต่อเวลาเรียนของเด็ก ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่ยืดหยุ่นอาจรู้สึกเป็นกังวลต่าง ๆ นานา กลัวเสียการเรียนจนอาจกลายเป็นความเครียดและส่งผลให้เกิดความกดดันต่อเด็ก ส่วนในมุมของเด็ก หากมีเปลี่ยนแปลงเวลาเรียนซึ่งทำให้เวลาเล่นของเด็กต้องถูกเลื่อนออกไป ถ้าเด็กไม่รู้จักการยืดหยุ่น เขาจะผิดหวัง เสียใจกับความสนุกที่ต้องรอนานขึ้น เกิดความหงุดหงิดงอแงและต่อต้าน แต่ถ้าเด็กรู้จักการยืดหยุ่น เขาจะสามารถจัดการแพลนใหม่และมี การบริหารเวลาในการเรียน ต่อไปได้ด้วยดี

ความยืดหยุ่น ยังรวมถึงการไม่ยึดติดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น ยึดติดกับคะแนน ผลการเรียน หรือความสำเร็จจนมากเกินไปจนกลายเป็นความเครียด อย่างไรก็ตาม ทุก ๆ ความยืดหยุ่นจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความสมเหตุสมผล และคงไว้ซึ่งวินัยในการดำเนินชีวิต เพื่อไม่ให้นำไปสู่ความหย่อนยานจนเสียการเรียน

อ้างอิง:

• aboutmom.co/features/teach-kids-time-management/23070/
• selfsufficientkids.com/time-management-for-kids/
• www.yourmodernfamily.com/flexible/